หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เทวาลัยองค์ทวยเทพ " ปุรา เบซากิห์ (Pura Besakih) " แห่งเกาะบาหลี



ที่มา:http://www.bltbangkok.com/TravelersList/ต้องมนต์บาหลีดินแดนศักดิ์สิทธิ์

กาะบาหลี คือหนึ่งในจำนวนเกาะกว่าหมื่นเกาะของประเทศอินโดนีเซีย  มีภูมิประเทศสลับซับซ้อนและมีความหลากหลายมาก ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเกาะชวา  มีฐานะเป็นรัฐ ปกครองของตนเอง มีพื้นที่เพียง 5,620 ตารางกิโลเมตร ประชากรประมาณ 3,000,000 คนซึ่งดำรงชีวิต อยู่ด้วยกันแบบครอบครัวใหญ่และชุมนุมใกล้ชิด  ชาวบาหลีส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู ซึ่งมีเอกลักษณ์ที่โดเด่นเฉพาะตัวโดยการผสมผสานระหว่างความเชื่อท้องถิ่นและศาสนาฮินดูเข้าด้วยกัน ท่ามกลางความหลากหลายทางเชื้อชาติเเละศาสนาของดินเเดนหมื่นเกาะแห่งนี้ ความเชื่อความศรัทธาอย่างเเรงกล้าก่อให้เกิดสถาปัตยกรรมที่งดงาม “ ปุรา เบซากิห์ (Pura Besakih)” เทวสถานสำคัญแห่งเกาะบาหลีสะท้อนถึงความสำคัญของศาสนาที่หยังรากลึกบนเกาะเเห่งนี้มาตั้งเเต่บรรพบุรุษ ศิลปะวัฒนธรรมส่งผ่านรุ่นสู่รุ่นแสดงความงดงามและยิ่งใหญ่บนปราสาทแห่งทวยเทพ ประหนึ่ง “ อัญมณีแห่งท้องทะเล "


ที่มา:https://sites.google.com/site/chaiyapongsrima3/kar-taeng-kay




ประวัติ


ปูรา เบซาร์กิ ตั้งอยู่บนลาดเขาชันของ กูนุง อากุง วัดแห่งนี้ถือเป็นมารดรแห่งมวลวิหาร
(Mother Temple) สร้างขึ้นราว ค.ศ. 8 และได้รับการขยายให้มากขึ้นเรื่อยๆในศตวรรษต่อๆมา
ศตวรรษที่ 15 ปูรา เบซาร์กิ เป็นวัดประจำอาณาจักรของราชวงศ์เกลเกล ซึ่งได้สร้างวัดเล็กๆ ลักษณะคล้ายๆกันเพื่อบูชาเหล่าบรรพบุรุษ วัดแห่งนี้ได้รับการดูเเลจากลูกหลานของราชวงศ์กลุงกุง ซึ่งเป็นทายาทโดยตรงของอาณาจักรเกลเกล


ที่มา:http://www.bali-indonesia.com/attractions/besakih-temple.htm

ที่ตั้ง

วัดเบซากิห์ตั้งอยู่บนความสูง 1000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล บนเส้นทางขึ้นสู่ปากปล่องภูเขาไฟกุนุง อากุงเขตเมืองการังกาเซ็








ปุราเบซากิห์ (Pura Besakih)

ที่มา:http://natabalitours.com/bali-besakih-tours-driver
ปุราเบซากิห์ (Pura Besakih) หรือนิยมเรียกกันอีกชื่อว่า วัดแม่หรือวัดหลวงแห่งเบซากิห์ (Mother Temple of Besakih) เป็นวัดในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดของบาหลี ยังถือเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเหนือวัดอื่นๆ มีบริเวณกว้างขวาง ประกอบด้วยวัดใหญ่น้อยรวมอยู่ด้วยกันถึง 22 วัดตรงกลางคือวัดใหญ่สุด  ตั้งเรียงรายอยู่แต่ละขั้น กว่า 7 ขั้นไปตามไหล่เขาโดยมีภูเขาไฟกุนุง อากุง ตั้งเป็นฉากหลังของวัดด้วยความสูง 3142 เมตร สูงที่สุดในบาหลี เพิ่งระเบิดครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2506 ภายในวัดหลักๆจะมีแท่นบูชาขนาดใหญ่ ที่มี 3 บัลลังก์สูงสำหรับเทพเจ้า 3 องค์ คือ พระศิวะ สดาศิวะ และปรมศิวะ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน แต่ละแท่นมีผ้าสีต่างๆผูกล้อมเป็นการแสดงความเคารพสักการะต่อเทพเจ้า จะมีลักษณะคล้ายภูเขา ตามความเชื่อที่ว่า ทวยเทพและบรรพบุรุษประทับอยู่ที่ภูเขา และสัญลักษณ์เหล่านี้ก็เสมือนตัวแทนแห่งขุนเขาหรือที่ประทับของเทพเจ้า โดยวัดที่ตั้งอยู่ตรงกลางคือ วัดปุราเปนาทารัน อากุง (Pura Penataraa Aguan)


ที่มา:http://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=770998


ที่มาhttp://es.city-discovery.com/ID175_Templo_Besakih_y_costa_este_de_Bali


วัดปุราเปนาทารัน อากุง (Pura Penataraa Aguan)


ที่มา:http://randomvoyager.com/besakih/

วัดปุราเปนาทารัน อากุง (Pura Penataraa Aguan) เป็นวัดที่สำคัญที่สุด ตั้งอยู่ตรงศูนย์กลาง ทุกๆ วันจะมีคนบาหลีเดินทางมาประกอบพิธีทางศาสนาจำนวนมาก โดยจะมีการแต่งกายแบบพื้นเมืองทั้งชายและหญิง และการทูนเครื่องบูชาบนศีรษะตามแบบโบราณ



ที่มา:http://www.thebalitoday.com/news/besakih-temple/




เทศกาล


ดือนจันทรคติที่10 ตามปฏิทินบาหลี  จะจัดพิธีทางศาสนาที่สำคัญคือ “ บาคารา ตูรุน กาเบะห์ ”  ประมาณช่วงระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปี ที่ปูรา เบซากิห์  ซึ่งเชื่อว่า ทวยเทพเสด็จมาพร้อมเพรียงกัน ศาสนิกชนทั่วเกาะบาหลีหลั่งไหลมาพร้อมเครื่องสักการะบูชาที่ประดิษฐ์อย่างวิจิตรสวยงามที่เทินๆไว้บนศีรษะ เพื่อนำมาสักการะทวยเทพและบรรพบุรุษที่เขาเคารพนั่นเอง ในขณะที่เบียดเสียดแย่งกันเข้าไปสู่ลานวัดชั้นในเพื่อสวดบูชา

ที่มา:http://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=770998



วิธีเดินทาง: เช่ารถขับ เดินทางตาม GPS


เวลาเปิด-ปิด: เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8.00-17.00 น.


ค่าเข้าชม: คนละ 3,300 รูเปียห์

* * * หากนักท่องเที่ยวต้องการปีนเขากุหนุงอากุงสามารถทำได้ในช่วงเดือนกรกฏาคมถึงตุลาคม โดยจะต้องขออนุญาติจากทางวัดก่อนเพราะทางวัดไม่อนุญาตให้ปีนขึ้นไปสูงกว่าวัดขณะที่มีการทำพิธีกรรมทางศาสนาอยู่ วัดเบซากิห์เปิดเข้าชมทุกวัน เวลา 8.00-17.00 น.





ที่มา:http://www.besakihbali.com/

บาหลีเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ มีความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในตัวเอง มีความงดงามที่หลากหลายทั้งจากธรรมชาติและจากสถาปัตยกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นภายใต้ความเชื่อเเละศรัทธาในศาสนาสะท้อนผ่านศิลปะที่งดงามเเละยิ่งใหญ่ มีมนต์สะกตอย่างน่าหลงใหล่ ชวนให้ทุกท่านได้ไปสัมผัสและสร้างความทรงจำบนดินแดนของทวยเทพเเห่งนี้ สถาปัตยกรรมอันงดงามของมนุษย์ท่ามกลางธรรมชาติ โอบกอดด้วยขุนเขาเเละสายหมอก ช่างเป็นความลงตัวที่น่าอัศจรรย์ที่ยากจะได้สัมผัสจากที่ใด อย่าช้ายเลยครับครั้งหนึ่งในชีวิตควรจะไปสัมผัสดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เเละมันไม่มีเหตุผลใดเลยที่เราจะไม่ไปสัมผัสมัน " อัญมณีแห่งท้องทะเล"










อ้างอิง


โอเชี่ยนสไมล์ทัวร์.(ม.ป.ป.).ท่องเที่ยวบาหลี เขตการังกาเสม (Karangasem).
สืบค้นเมื่อ 13 ตุลาคม พ.ศ.2561 จาก http://www.oceansmile.com/IndoBali/Bali4.htm


Tarra Arrya.(ม.ป.ป.).ทัวร์บาหลี,วัดเบซากี Besakih Temple บาหลี.สืบค้นเมื่อ 13 ตุลาคม พ.ศ.2561 จากhttp://www.taraarryatravel.com/info_page.php?id=707&category=34


Govivigo.(2558).ปุราเบซากิห์.สืบค้นเมื่อ 13 ตุลkคมพ.ศ.2561.


สืบค้นเมื่อ 13 ตุลาคม พ.ศ.2561.จากhttp://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=770998

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2561

โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปปินส์ (BAROQUE CHURCHES OF THE PHILIPPINES)



ที่มา:https://pi-nu.blogspot.com/2017/03/world-heritage-site-filippinesingapore.html



ฟิลิปปินส์ เป็นประเทศที่มีหมู่เกาะกว่า 7,641 เกาะ และเป็นประเทศที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดียน้อยมาก เมื่อเทียบกับหลายๆประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยเหตุที่ฟิลิปปินส์ถูกปกครองโดยชาติตะวันตก เป็นเวลายาวนานโดยเฉพาะประเทศสเปน ที่ปกครองยาวนานถึง 400 ปี ซึ่งได้นำวัฒนธรรม  แบบตะวันตกเข้ามาอย่างแพร่หลายในฟิลิปปินส์รวมถึงศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งมีอิทธิพลต่อชาวฟิลิปปินส์เป็นอย่างมาก ความศรัทธาต่อศาสนาอย่างเหนียวแน่น นำมาสู่สถาปัตยกรรมอันงดงามผสมผสานความเป็นตะวันตกและพื้นเมืองได้อย่างลงตัว  อย่าช้าเลยครับเราไปเรียนให้รู้ดูให้เห็นความงดงามของศูนย์การเเห่งคริสต์จักรบนแผ่นดินรวยเกาะกับ " โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปปินส์ "
กันเลย






ประวัติ


โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปินส์ ประกอบด้วยโบสถ์โรมันคาทอลิก 4 แห่งที่สร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 16-18 ในช่วงที่ฟิลิปปินส์เป็นอาณานิคมของสเปน  นับว่าเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งที่ศาสนาคริสต์และเเพร่หลายในหมู่เกาะของฟิลิปปินส์ และยังเป็นศูนย์กลางอำนาจในการปกครองอาณานิคมของสเปนด้วย สถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของโบสถ์ผสมผสานความสเปนหรือละตินอเมริกันกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นหลอมรวมศิลปะลวดลายของจีนให้เข้ากันได้อย่างลงตัว  แสดงความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและเเปลกตาเป็นอย่างมาก โบสถ์บาโรคมีความสำคัญทั้งทางด้านศาสนาและการเมืองเชื่อมระหว่าง คริสตจักรและรัฐให้เป็นหนึ่งเดียวกัน โบสถ์เหล่านี้จึงไม่ใช่มีเพียงสิ่งก่อสร้างที่ให้บริการทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นป้อมปราการควบคู่ไปด้วย นอกจากนี้ที่ตั้งของประเทศฟิลิปปินส์ยังตั้งอยู่บนแนวที่เรียกว่าวงแหวนแห่งไฟแปซิฟิก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีแนวโน้มเกิดแผ่นดินไหวได้บ่อย ๆ การก่อสร้างจึงให้ความสำคัญกับรากฐานของโบสถ์เป็นอย่างมาก  และได้รับการบูรณะทดแทนเสมอเมื่อได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว


ที่มา:https://sites.google.com/site/worldheritageinaseann/filippins

ที่ตั้ง

โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปปินส์ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมของอินโดนีเซีย ประกอบด้วยโบสถ์ 4 แห่ง ได้เเก่

-โบสถ์ซานออกัสติน ในกรุงมะนิลา (San Agustin Church in Manila)
- โบสถ์ซานตามาเรีย ในซานตามาเรีย จังหวัดอิโลคอสซูร์  
(Santa Maria Church in Ilocos Sur)
- โบสถ์ซานอกัสติน ในปาโออาย จังหวัดอิโลคอสนอร์เต
(San Agustin Church in Paoay, Ilocos Norte)
- โบสถ์ซานโต โทมัส เดอวิลลานูวา ในไมอากาโอ จังหวัดอิโลอิโล
(Sto. Tomas de Villanueva Church in Miagao, Iloilo)




1. โบสถ์ซานออกัสติน ในกรุงมะนิลา (San Agustin Church in Manila)


ที่มา:https://aianderick.wordpress.com

โบสถ์ซานออกัสตินในกรุงมะนิลา เป็นโบสถ์คาทอลิกแห่งแรกที่สร้างขึ้นบนเกาะลูซอนในปี ค.ศ. 1571 หลังจากสเปนได้รับชัยชนะเหนือมะนิลา เป็นโบสถ์ในลัทธิออกัสติน (ลัทธิของคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก ตั้งชื่อตามนักบุญออกัสตินแห่งฮิปโป ค.ศ. 354 - ค.ศ. 450) ซึ่งเป็นนิกายแรกที่ประกาศพระวจนะในประเทศฟิลิปปินส์  ตัวโบสถ์ในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นมาเป็นครั้งที่ 3 ในพื้นที่เดิม สร้างด้วยหินเพดานเป็นวงโค้ง (Tunnel Vault) วาดภาดสถาปัตยกรรมลวงตาบนเพดาน (Trompe l’oeil)วาดขึ้นโดยจิตรกรชาวอิตาเลี่ยนจำนวนสองคนใน ค.ศ.1875 ที่ปลายสุดของโบสถ์เป็นแท่นบูชาประดิษฐานเซนต์เจมส์ถือดาบ ซึ่งเป็นนักบุญประจำประเทศสเปนแล้วเสร็จเมื่อ 19 มกราคม ค.ศ.1607 ละได้กลายเป็นแม่แบบของโบสถ์ออกัสตินในประเทศฟิลิปปินส์


ที่มา::https://www.loupiote.com/photos/33782740504.shtml





2) โบสถ์ซานตามาเรีย ในซานตามาเรีย จังหวัดอิโลโกสซูร์ (Santa Maria Church in Ilocos Sur)

 


ที่มา:http://www.sac.or.th/databases



โบสถ์พระแม่แห่งอัสสัมชัน (The Church of Our Lady of the Assumption) หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ โบสถ์ซานตามาเรีย ส์ สร้างตั้งขึ้นในปี 1765 ในจังหวัดโลคอสซู ฟิลิปปิน  สร้างขึ้นบนเนินเขา ระหว่างทะเลกับเทือกเขาตอนกลางของเกาะลูซอน ทำหน้าที่เป็นทั้งป้อมปราการที่สำคัญ ควบคู่กับการเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและการบริหารภูมิภาค โดยคริสต์ศาสนาและทหารของสเปน  รวมทั้งเป็นฐานสำหรับคริสต์ศาสนิกชนที่อยู่ทางตอนเหนือของหมู่เกาะ และเป็นสัญลักษณ์สิ่งที่ให้ระลึกถึงสี่ศตวรรษของการปกครองของสเปน
โบสถ์ซานตามาเรีย สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาโรคที่โดดเด่น ตัวอาคารโบสถ์ก่ออิฐสีแดง มีผนังด้านหน้าตามแบบบารอค ขนาบด้วยหอคอยสองด้านและเสาอีกสองต้น แบ่งพื้นที่ออกเป็นสามส่วน ด้านบนปรากฏหน้าบันแบบบารอคที่ใช้หน้าบันวงโค้งตรงกลางขนาบด้วยหน้าบันโค้งเว้าทางด้านข้างซึ่งทำให้หน้าบันด้านบนมีความลื่นไหลแตกต่างไปจากแบบคลาสิก ที่ปลายสุดซึ่งตรงกับหอคอยขนาบข้างนั้นปรากฏการประดับถ้วยรางวัล ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นองค์ประกอบแบบบารอคด้านข้างของโบสถ์นั้นถูกค้ำยันด้วย buttress ที่หนาหนัก มีโครงสร้างที่ป้องกันการถล่มเนื่องจากแผ่นดินไหว  



3) โบสถ์ซานอกัสติน ในปาโออาย จังหวัดอิโลโคสนอร์เต (San Agustin Church in Paoay, Ilocos Norte)
ที่มา:https://www.avianquests.com

โบสถ์เซนต์ออกัสตินในปาโออาย หรือ โบสถ์ปาโออาย (Paoay Church) เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิก ตัวโบสถ์เป็นศิลปะผสมระหว่างแบบกอทิกและบาโรค รวมทั้งได้รับอิทธิพลของศิลปะแบบจีนและชวาสร้างจาก อิฐ หินปะการัง และไม้แปรรูป มีชื่อเสียงจากสถาปัตยกรรมที่เน้นคานขนาดใหญ่ที่ด้านข้างและด้านหลังของอาคาร มีหอระฆังสร้างขึ้นจากหินปะการังเพื่อความปลอดภัยหากเกิดแผ่นดินไหวหรือพายุไต้ฝุ่น ตั้งอยู่ห่างจากตัวโบสถ์ นอกจากนี้ยังใช้หอระฆังเป็นหอสังเกตการณ์สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ 1710   ในปี ค.ศ. 2000 การขุดพบหลักฐานทางโบราณคดี เช่น โครงกระดูก และเครื่องปั้นดินเผาในบริเวณโบสถ์ ซึ่งมีอายุอยู่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์
ที่มา::https://www.avianquests.com



4) โบสถ์ซานโต โทมัส เดอ วิลลานูวา ในไมอากาโออิโลอิโล (Sto. Tomas de Villanueva Church in Miagao, Iloilo)



ที่มา:https://it.m.wikipedia.org/wiki/File:Baroque-Romanesque_Style_Miag-ao_Church.jpg


โบสถ์ซานโต โทมัส เดอ วิลลานูวา ในไมอากาโอ หรือ โบสถ์ไมอากาโอ เป็นสถานปฏิบัติของศริสตจักรโรมันคาทอลิก นิกายออกัสตินและยังทำหน้าที่เป็นป้อมปราการเพื่อต้านทานการรุกรานที่ สร้างขึ้นในปี ค.ศ 1731 ซึ่งในปีค.ศ 1741 และในปี 1754เมืองและโบสถ์ได้ถูกทำลายลงโดยการรุกรานโจรสลัดมุสลิม และได้สร้างโบสถ์ขึ้นใหม่ในปี ค.ศ 1787-1797 ในทำเลที่ปลอดภัยมากขึ้นเวลาต่อมาโบสถ์ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากไฟไหม้ถึงสองครั้ง ในระหว่างการปฏิวัติกับสเปนในปี 1898 และในระหว่างสงครมโลกครั้งที่2


ที่มา::http://ffemagazine.com/travel-berta-andrew-churches-iloilo/


มรดกโลก


โบสถ์ที่ 4 แห่งได้สะท้อนให้เห็นอิทธิพลของศริสต์ศาสนาได้หลอมรวมศลิปะระว่างสเปน ฟิลิปินส์และจีนให้ออกมาได้ย่างลงตัวเเละสวยงาม การผสมผสานจนเกิดเป็นเอกลักษณ์ที่โดเด่นเฉพาะตัว กระทั้งโบสถ์ทั้ง 4 แห่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกรวมกันในปี พ.ศ.2536 โดยมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณามรดกโลกด้านวัฒนธรรมจำนวน 2 ข้อ ดังนี้

1. เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม


2. เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนาทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ





ที่มา:https://www.dmc.tv/pages/.html


       ประเทศฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่แห่งหมู่เกาะโอบกอดด้วยท้องทะเล มีธรรมชาติที่สวยงาม หาดทรายสีขาวตัดกับพื้นน้ำทะเลสีคราม เห็นหมู่ฝูงปลาแหวกว่ายล้อเล่นกับปะการัง นอกจากธรรมชาติที่สมบูรณ์แล้วยังเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมที่สวยงาม สถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้าง ล้วนแต่ถูกตกแต่งด้วยช่างฝีมืออย่างประณีตงดงาม อีกทั้งการผสมผสานศิลปะความเป็นตะวันตกกับฟิลิปปินส์จนเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเเละสวยงามยิ่งนัก หากทุกท่านกำลังมองหาสถานที่พักผ่อน ฟิลิปปินส์น่แหละเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ คุณจะได้สัมผัสกลิ่นไอความเป็นเสปนโดยที่ไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงตะวันตก และคุณจะได้เรียนรู้ทั้งประวัติศาสตร์ความเป็นฟิลลิปปินส์และเสปนไปพร้อมๆกัน และชาวฟิลลิปปินส์จะมองมาที่คุณเเละยิ้มให้แล้วพูดว่า กูมูสต้า (kumusta)ซึ่งมันไม่มีเหตุผลใดที่พวกเราจะไม่ไปชมความงดงามด้วยตาซักครั้ง




อ้างอิง


ราพรรณ  พูลสวัสดิ์, นัชรี  อุ่มบางตลาด. มรดกโลกในฟิลิปปินส์ 2 : โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปปินส์.
ค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2561.จากhttp://aseannotes.blogspot.com/2014/08/2.html

วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี. (2561). โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปปินส์. ค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2561.

 วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี. (2561). ประเทศฟิลิปปินส์.ค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2561.จากhttps://th.wikipedia.org/wiki/

 มรดกโลกอาเซียน.( ม.ป.ป.).ฟิลิปปินส์. ค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2561.จากhttps://sites.google.com/site/worldheritageinaseann/filippins

 เชษฐ์ ติงสัญชลี.( ม.ป.ป.).ภายในโบสถ์ซานออกุสติน.ค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2561.จากhttp://www.sac.or.th/databases/seaarts/th.

ชษฐ์ ติงสัญชลี. ( ม.ป.ป.).ภายในโบสถ์ซานตามาเรีย.ค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2561.จาก http://www.sac.or.th/databases/seaarts/th/architectureth.

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2561

พรหม 4 หน้า หลังคาทอง " พระบรมราชวังจตุมุขศิริมงคล "

 




ที่มา:http://markettourcenter.com/package_detail.php?pkno=4754&countryid=07251


          ประเทศกัมพูชาเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน บรรพบรุษได้สร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์ของโลกอันเเสดงถึงความรุ่งเรื่องของศิลปวัฒนธรรมและสถาปัตกรรม ฝีมือช่างขอมโบราณประดิษฐ์งานศิลป์อันยิ่งใหญ่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเเละมรดกอันล้ำค่าของมวลมนุษยชาติ นอกจากศิลปะอันงดงามของฝีมือช่างศิลป์โบราณแล้ว ฝีมือช่างในยุคต่อมาของประเทศกัมพูชาได้มีการพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นศิลปะที่ประดับพระราชวังอังสวยงาม  " พระบรมราชวังจตุมุขศิริมงคล " ที่ประทับขององค์พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ศูนย์กลางความเคารพและศรัทธาของประชาชนชาวกัมพูชาทั้งมวล

ที่มา:https://sara-asean.weebly.com





ที่ตั้ง


   พระบรมราชวังจตุมุขศิริมงคล ตั้งอยู่บนถนนโซะเทียะรึต ทางตอนใต้ของพิพิธภัณฑ์สถานเเห่งชาติ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา


ที่มา:http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/08/K11005879/K11005879.html




 ประวัติ
       
        พระราชวังสร้างขึ้นในปี 1866 ในรัชสมัยสมเด็จพระนโรดม ตามแบบศิลปะเขมร หันหน้าไปทางทิศตะวันออก โดยได้รับความช่วยเหลือจากฝรั่งเศสในการก่อสร้าง พระราชวังตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของเเม่นำ 4 สายของแม่น้ำโขง เรียกว่า " จตุมุข " ใช้เป็นที่ประทับของพระมหาษัตริย์เเละราชวงศ์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา มีชื่อเรียกว่า  " เปรี๊ยะบรมเรียเชียงแวงจักตุมุก" ภายในพระราชวังประกอบด้วยหมู่พระที่นั่ง วัด เเละเขตพระราชฐานที่ประทับ หมู่อาคารพระคลังหลวง 


ที่มา:https://cambodia-travelpartner.com/phnom-penh/phnom-penh-royal-palace/



พระที่นั่งจันทร์ฉายา

        เป็นพระที่นั่งรูปแบบศาลาโถง ตั่งอยู่บริเวณกำแพงพระราชวัง มีมุขระเบียงยื่นออกจากตัวพระที่นั่ง สามารถมองเห็นภายนอกได้อย่างสะดวก พระที่นั่งองค์ปัจจุบันสร้างขึ้นเป็นครั้งที่สอง แทนองค์ที่สร้างตั้งตั้งเเต่รัชสมัยสมเด็จพระศรีสุวัตถิ์ บนฐานและรูปแบบเดิม พระที่นั่งจันทร์ฉายาใช้เป็นที่ประทับทอดพระเนตรขบวนแห่และนาฎศิลป์หลวงในพิธีสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นพิธีขึ้นครองราชย์และพิธิเฉลิมฉลองต่างๆ

ที่มา:https://sinhcafetravel.com/news/voyeuristic-with-silver-pagoda-and-royal-palace-in-cambodia


พระที่นั่งเทวาวินิจฉัย
  
          พระที่นั่งองค์นี้ตั้งอยู่กลางหมู่พระที่นั่งอื่นๆ หันไปสู่ทิศตะวันออก สร้างขึ้นในปี 1917 ตามรูปแบบศิลปะเขมรผสมกับศลปะเขมรโบราณตาแบบปราสาทบายนที่เมืองพระนคร โดยมีลักษณะผังเป็นรูปกากบาทประกอบด้วยยอดปราสาท 3 ยอด ปราสาทยอดกลางสูง 59 เมตรประดับด้วยพรหมพักตร์ 4 หน้า ภายในเป็นท้องพระโรงกว้าง 30×60 เมตร เป็นที่ตั้งของราชบัลลังก์และรูปปั้นบูรพกษัตริย์แห่งกัมพูชา และมีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ พระที่นั่งเทวาวินิจฉัยใช้เป็นที่สำหรับงานพระราชพิธีต่างๆ อาทิเช่น พระราชพิธิครองศิริราชสมบัติ  พระราชพิธีอภิเษกสมรส  เสด็จออกรับสาส์นตราตั้งจากเอกอัครราชฑูตของต่างชาติ เเละต้อนรับเเขกบ้านเเขกเมือง

ที่มา:https://sinhcafetravel.com/news/voyeuristic-with-silver-pagoda-and-royal-palace-in-cambodia


พระที่นั่งนโปเลียนที่ 3

    เป็นพระที่นั่งสีขาว สไตร์ยุโปสร้างด้วยโลหะรูปตัว N เดิมเป็นตำหนักที่จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส สร้างประทานเเด่จักรพรรดินีเออเชนี สำหรับใช้เป็นที่ประทับคราวเสด็จร่วมงานเปิดคลองซุเอส ต่อมาถูกส่งมาเป็นของขวัญถวายแด่สมเด็จพระนโรดมในทศวรรษที่ 1870 โดยการรื้อถอดเป็นชิ้นๆลงเรือเเละนำมาประกอบใหม่


ที่มา:https://sinhcafetravel.com/news/voyeuristic-with-silver-pagoda-and-royal-palace-in-cambodia


วัดพระเเก้ว

     พระเจดีย์เงิน เดิมชื่อ วัดอุโบสถรตนาราม สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2435 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์ออกแบบโดยออกญาเทพนิมิตรและ Alavigne สถาปนิกชาวฝรั่งเศส ตามเเบบศิลปะช่างเขมร ปูพื้นด้วยกระเบื้องสีเงิน 5,392 แผ่น  แต่ละเเผ่นหนัก 1 กิโลกรัม สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2446 และได้มีการฉลองสมโภชอย่างยิ่งใหญ่ ภายในวัดไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา  เหตุเพราะเป็นวัดที่ตั้งอยู่ในพระราชวัง วัดพระเเก้วยังมีมรดกอันล้ำค่ามากมาย 
เช่น พระพุทธรูปทองคำและอัญมณี พระพุทรูปสลักจากผลึกแก้วขนาดเล็ก และ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับมนุษย์ ประดับด้วยเพชร 9,584 เม็ด ได้มาจากเครืื่องราชกกุธภัณฑ์ของสมเด็จพระศรีสุวัตถิ์

        ส่วนทางด้านตะวันตกเฉียงเหนืองเป็นเขตพระราชฐานและที่ประทับของสมเด้จพระสีหนุด้านใต้ของพระราชวังประกอบด้วยหมู่อาคารพระคลังหลวง พระที่นั่งเปิดโล่ง ชื่อว่า พระที่นั่งโภชนีโสภา ใช้เป็นที่สำหรับตอนรับเเขกบ้านเเขกเมือง


ที่มา:http://hometheatrefrisco.com

                              
ที่มา:http://moonfleetasia.blogspot.com/2017/07/09072560-silver-pagoda-phnom-penh.html


    




ที่มา:https://sites.google.com/site/thxngtheiywchayfangthaleaec/home/thxng-theiyw-chayfang-prathes-kamphucha


       หากทุกท่านได้เดินทางไปเที่ยวประเทศกัมพูชา นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาตร์แล้วอย่างเช่น นครวัด และปราสาทอื่นๆเเล้ว  " พระบรมราชวังจตุมุขศิริมงคล " เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ควรจะไปเยี่ยมชมความงดงามของพระราชวังเเห่งนี้ ด้วยเป็นศิลปะเเบบช่างเขมรที่รังสรรค์ลวดลายอย่างสวยงามผสมผสานด้วยความเชื่อเเละศรัทธาให้ออกมาเป็นสถาปัยกรรมอันทรงคุณค่า ควรค่าเเก่การรักษาเเละทำนุบำรุงให้เเก่คนรุ่นหลัง ส่งเรื่องราวความเป็นมาของบรรพบุรุษ ความคิดสร้งสรรค์ การประดิษฐ์คิดค้นศิลปะวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และทุกท่านจะได้สัมผัสความวิถีชีวิตของชาวกัมพูชาและพวกเขาจะกล่าวคำทักทายกับคุณว่า " ซัวสเด " ซึ่งพระราชวังสีทองแห่งนี้จะทำให้ทุกท่านต้องมนต์สะกดและหลงไหลในความสวยงามอย่างแน่นอน และไม่มีเหตุผลใดที่เราจะไม่ไปสัมผัสบรรยากาศความสวยงามด้วยตนเองซักครั้ง

*** ควรแต่งกายด้วยชุดสุภาพ มีอาการสำรวมและปฏิบัติตามกฏอย่างเคร่งครัด เมื่อเข้าไปยังพระบรมราชวังจตุมุขศิริมงคล ด้วยนะครับ






อ้างอิง


อีสาน.(ม.ป.ป.).พระราชวังหลวงในพนมเปญ.สืบค้นเมื่อ 19 กันยายน 2561 จาก http://isaan.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%8D/?lang=th

KHAOFANG.(2013).พระบรมราชวังจตุมุขศิริมงคล.สืบค้นเมื่อ 19 กันยายน 2561 จากhttp://khaofangpebble.blogspot.com/2013/12/royal-palace-of-phnom-penh.html



govivigo.(ม.ป.ป.).พระราชวังหลวงกรุงพนมเปญ.สืบค้นเมื่อ 19 กันยายน 2561 จากhttp://www.govivigo.com/ideas/26-cambodia-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%8D

ภาพเก่าเล่าประวัติสุวรรณภูมิ.(2014).พระราชวังเขมรินทร์ แหล่งรวมศิลปะกรรม เขมร สยาม ฝรั่งเศส.สืบค้นเมื่อ 19 กันยายน 2561 จากhttps://www.facebook.com/PhaphKeaLeaPrawatiSuwrrnphumi/posts/601108536648939:0

ม.ป.ก.( 2018).วัดพระเเก้วมรกต.สืบค้นเมื่อ 19 กันยายน 2561 จากhttp://hometheatrefrisco.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%95/

ม.ป.ก.ที่มาของชื่อพนมเปญ.สืบค้นเมื่อ 19 กันยายน 2561 จากhttp://www.planetholidaystravel.com/uncategorized/%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%8D/