หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

" ท้าวกุเวร" อธิบดีแห่งจตุโลกบาล เบื้องทิศอุดร



ที่มา:http://videominecraft.ru/watch/hoPrNfoeMUg/.html




    
 "  อิติปิ โส ภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ มะระณัง สุขัง อะหัง สุคะโต นะโม พุทธายะ ท้าวเวสสุวรรณโณ จาตุมะหาราชิกา ยักขะพันตาภัทภูริโต เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ  ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโม พุทธายะ    ”


ที่มา:https://www.pintaram.com/u/srithong2001/1616022614730376904_6103582773


         ท้าวกุเวร หนึ่งในท้าวจตุโลกบาล เจ้าเเห่งยักษ์ทั้งหลาย ปกครองโลกเบื้องทิศเหนือ เป็นเทพเจ้าแห่งขุมทรัพย์รักษาสมบัติของเทวโลก มีอิทธิฤทธิ์แกร่งกล้าป้องกันภัยอันตรายจากภูตผี วิญญาณ ทำหน้าที่พิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนาและธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม



 




ประวัติ

    ตามตำนานกล่าวในมหากาพย์รามายาณะไว้ว่า " ท้าวกุเวร "หรือ เวสสุวรรณ ครองกรุงลงกา ซึ่งสร้างโดยพระวิศกรรม   เป็นโอรสของ พระวิศรวิสุมนี กับ นางอิทาวิทา   ซึ่งท้าวกุเวร ใฝ่ใจกับท้าวมหาพรหม เป็นเหตุทำให้บิดาโกรธเพราะถือทิฐิว่า ตนเป็นยักษ์ ที่เป็นเทวดาต่ำศักดิ์กว่า ไม่ควรไปยุ่งกับเทวดา ที่บนสวรรค์ชั้นสูงกว่า เห็นคนอื่นดีกว่าพ่อจึงแบ่งภาคเป็นท้าวลัสเตียนแต่งงานนางนิกษา มีโอรสด้วยกันคือ ทศกัณฐ์ กุมภกรรณ พิเภก และ นางสำมะนักขาท้าวมหาพรหมได้ประทานบุษบกที่สามารถล่องลอยไปไหนมาไหนได้ตามต้องการ เป็นเพราะท้าวกุเวรนั้น ต้องการบำเพ็ญตบะบารมี ด้วยการเข้าฌาน และบำเพ็ญทุกรกิริยา นานนับพันปี  นางนิกษาด้วยความอิฉจา ได้ยุยงให้ทศกัณฐ์ ชิงกรุงลงกา มาจากท้าวกุเวร ทั้งยังชิงเอาบุษบกอันพระพรหมได้ประทานแก่ท้าวกุเวรมาด้วย  เมื่อท้าวกุเวรต้องเสียกรุงลงกาไปแล้ว ท้าวมหาพรหมท่านก็สร้างนครให้ใหม่ ชื่อ “อลกา” หรือ “ประภา” อันตั้งอยู่ที่เขาหิมาลัย มีสวนชื่อ “เจตรรถ” อยู่บนเขามันทรคีรี อันเป็นกิ่งแห่งเขาพระสุเมรุ บ้างก็ว่า ท้าวกุเวร อยู่ที่เขาไกรลาส ซึ่งพระวิษณุกรรมเป็นผู้สร้างให้
     ตามตำนานทางพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงอดีตชาติของท้าวกุเวร เอาไว้ใน พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ไว้ว่า พราหมณ์นามว่ากุเวร เป็นคนใจดีมีเมตตากรุณา ประกอบสัมมาชีพ ด้วยการทำไร่อ้อย ค้าขายหีบอ้อยจนร่ำรวยด้วยความใจบุญได้บริจาคเงินและน้ำอ้อยให้ผู้ยากไร้ จนตลอดอายุขัย ด้วยอำนาจ แห่งบุญกุศลที่บริจาคน้ำอ้อยให้เป็นทานนั้น ทำให้กุเวรได้ไปอุบัติเป็นเทพบุตร บนสวรรค์ชั้น จาตุมหาราชิกา มีนามว่า"กุเวรเทพบุตร" ต่อมากุเวรเทพบุตร ได้เทวาภิเษกเป็นผู้ปกครองดูแล พระนครด้านทิศเหนือ จึงได้มีพระนามว่า "ท้าวเวสสุวรรณ" คำว่า เวส แปลว่า พ่อค้า หมายถึงพ่อค้าอันมีทรัพย์มาก 
   
      




ที่มา:http://kornbykorn.blogspot.com/2013/01/blog-post_1419.html


 ลักษณะของท้าวกุเวร

    ท้าวกุเวร เทพเจ้าแห่งยักษ์ทั้งปวง  มีลักษณะเป็นยักษ์มี  4 กร  3 ขา สันฐานสูง 200 เส้น มีฟัน 8 ซี่ ร่างกายขาวกระจ่าง สวมอาภรณ์อันงดงามทรงมงกุฏน้ำเต้าไว้บนพระเศียร มีกระบองหรือคฑาเป็นอาวุธประจำกาย พาหนะคือ ม้าสีขาวนวลราวกับปุยเมฆ มีมเหสีเป็นยักษิณีนามว่า จารวี มีลูกชาย คือ วรรณกวีเเละ มยุราช มีลูกสาว ชื่อ มีนากษี




ที่มา:http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=15385
หน้าที่

    ท้าวกุเวรเป็นเจ้าเเห่งยักษ์ ทำหน้าที่ปกครองหมู่ยักษ์ทั้งหลาย และเหล่าภูตผี วิญญาณ ผู้คนจึงนิยมแขวนรูปเป็นพระยายักษ์ เพื่อป้องกันอันตรายจากภูตผีวิญญาณที่มารบกวนเด็ก อีกทั้งผ้ายันต์ท้าวกุเวรที่นิยมนับถือในหมู้สัปเหร่อเเละเพชรฆาต ท้าวกุเวรยังทำหน้าที่ธำรงความยุติธรรมด้วยท่านจะทำหน้าที่จดบันทึกความดีความชั่วของมวลมนุษย์เพื่อเเจ้งต่อพระยายมราช และดูเเลความเรียบร้อยบนสวรรค์ จึงใช้เป็นตราสัญลักษณ์ของอัยการซึ่งทำหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม อีกทั้งพระองค์ยังเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้ปวารณาตนปกป้องรักษาศาสนสถานและพระศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รวมทั้งเหล่าภิกษุสามเณรทั้งหลาย ในลักษณ์ของยักษย์ 2 ตนผู้รักษาประตูทางเข้าสู่ศาสนสถานหรือที่เรียกว่าทวารบาล และยังเป็นเทพเจ้าเเห่งความร่ำรวยมั่งคั่ง ทำหน้าที่รักษาทรัพย์สมบัติอันมีค่าในเทวโลกจึงเป็นเทพเจ้าที่ผู้คนนับถือเป็นอย่างมาก


ที่สถิต

   ท้าวกุเวร สถิตอยู่บนยอดเขายุคนธรอีสานราชธานี มีสระโกธาณีใหญ่ 1 สระ กว้าง 50 โยชน์ ปกคลุมไปด้วยพันธ์ุดอกบัวเบ่งบานอย่างงดงาม และยังเต็มไปด้วยหมู่ปลานานาพันธ์ุ ขอบสระมีมณฑปชื่อ ภคลวดี ใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ปกคลุมไปด้วยเครือเถาภควดีลดาวัลย์ ซึ่งออกดอกสะพรั่งห้อยย้อยเป็นพวงพูทั้งยังเป็นที่พบปะของยักษ์บริวารทั้งหลายและยังมีราชธานี 2 แห่ง ชื่อ อาลกมันทา และ วิสาณา มีนครอีก 8 นครสำหรับแปรเทพยสถาน ท้าวกุเวรมียักษ์เสนาบดีทั้ง 32 ตน ยักษ์รักษาพระนคร 12 ตน ยักษย์เฝ้าประตูนิเวศ 12 ตน ยักษ์ที่เป็นทาส 9 ตน





ลักษณะงานศิลปะ

 ศิลปะไทย

   ตามความเชื่อของคนไทยโบราณ ที่ว่า ท้าวกุเวร หรือเวสสุวรรณ มีฤทธฺ์และอำนาจปราบภูติผี วิญญาณร้ายเเละภัยต่างๆที่ไม่สามารถมองเห็นได้ จึงนิยมบูชาผ้ายันต์ท้าวเวสสุวรรณติดตัวเพื่อคุ้มครอง



ที่มา:http://jramulet.tarad.com/product.detail_415522_th_6611117#
หัวโขน

ท้าวกกุเวรนุราช กายสีขาว สวมมุงกุฏน้ำเต้า ขัดคทา ถือศรเป็นอาวุธ

ที่มา:http://tewaboocha.tarad.com/article-th-42346-ประเพณีและความเชื่อของหัวโขน.htm

สัญลักษณ์อัยการ

    พระไพศรพณ์ (ท้าวกุเวร)คือ เป็นเทวดา สัญญลักษณ์ของอัยการ มือขวาถือตระบอง มือซ้ายยกเสมอหน้าอกแสดงการห้ามปรามมิให้ (เทวดา)ทำผิด เนื่องจากมีหน้าที่รักษาความเรียบร้อยยุติธรรมในสวรรค์ ตั้งแต่แรกตั้งกรมอัยการเมื่อกว่า ๑๐๐ ปีมาแล้วเนื่องจากยกกระบัตร (ชื่อเรียกอัยการในสมัยโบราณ) หรืออัยการในปัจจุบันก็มีหน้าที่รักษาความยุติธรรมและกฎหมายเช่นเดียวกับหน้าที่ของพระไพศรพณ์ในสวรรค์

ประติมากรรม 


ที่มาhttps://app-udoncity.udoncity.go.th/post/ท้าวเวสสุวรรณโณ-หรือท้าวกุเวร
   ท้าวกุเวร เทพเจ้าเเห่งยักษ์ทั้งปวง แสดงออกในลักษณะของยักษ์ถือกระบอง สวมมงกุฏไว้บนศรีษะ สวมอาภรณ์ตามแบบโขนไทย ประทับยืนบริเวณประตูทางเข้าวัด พระอุโบสถ จำนวน 2 ตน เช่น  ยักษ์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร อีกทั้ง รูปปั้นท้าวกุเวร ณ ศาสหลักเมือง จังหวัดอุดรธานี และประติมากรรมท้าวกุเวร ในการประดับพระเมรุมาศงานถวายพระเพลิงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช รัชกาลที่9
 
 จิตรกรรม 


ที่มา:https://www.facebook.com/Kuewr/photos/a.1554029648207544/1554230201520822/?type=3&theater

   ลักษณะการเขียนจิตรกรรม มีลักษณะเป็นยักษย์ 4 กร ถือกระบอง สวมมงกุฏ สวมเครื่องประดับสวยงาม

       
ศิลปะชวา
ที่มา:http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2007/06/K5546170/K5546170.html

ท้าวกุเวร เทพเจ้าแห่งความร่ำรวย เเสดงออกในลักษณะรูปร่างอ้วนสมบรูณ์และมีหม้อเงินวางอยู่ด้านล่างหมายถึงร่ำรวยมาจนเหลือกินเหลือใช้ ส่วนมือขวาถือมะนาว ผลไม้ที่ใช้ผสมเหล้า เป็นเครื่องดื่มของคนรวย ล้อมรอบด้วยคนเเคระ แสดงถึงความสุขสบาย มีข้าทาสบริวารและขุมทรัพย์ เช่น ภาพสลักท้าวกุเวร และนางหาริตี ณ จันทิเมนดุต



ท้าวกุเวรสำริด 
 
ที่มา:http://www.sac.or.th/databases/seaarts/th/sculptureth/อินโดนีเซีย/item/439-ท้าวกุเวรสำริด.html/

ประติมากรรมสำริดขนาดเล็กในศิลปะชวาภาคกลาง รูปแบบแล้วมีความคล้ายคลึงกับศิลปะปาละ ทั้งเครื่องแต่งกายและรูปแบบบัลลังก์-แผ่นหลัง ประภามณฑลมีเปลวไฟและมีฉัตรประดับ แท่นบัลลังก์มีผ้าทิพย์รูปวงโค้ง มีพุงโตห้อย มีเศียรเดียวสองกร พระกรขวาถือผลพีชปูรกะ ส่วนพระหัตถ์ซ้ายถือพังพอนซึ่งคายนานารัตนะออกมา พวงมาลัยทำจากดอกอุตปละซึ่งตรงกับสาธนมาลา แสดงการ เตะ หม้อเพชรพลอยให้หกกระจาย

ศิลปะจีน



ที่มา:http://www.amuletpura.com/article/2/ท้าวกุเวรมหาราช-พระธนบดีศรีธรรมราช-ผู้ประทานโชคลาภและความมั่งคั่ง

     เรียกว่า ตัวเหวินเที่ยนหวัง 多聞天王 / 多闻天王  เป็นหนึ่งในเทพเจ้า " ไฉ่ฉิงเอี๊ย" เทพเจ้าเเห่งความร่ำรวย มีลักษณะคือ พระหัตถ์ขว่าถือลูกแก้ววิเศษ พระหัตถ์ซ้ายถือพังพอนที่กำลังคายเพชร,นิล,จินดา,แก้วเเหวนเงินทอง พระบาทซ้ายเหยียบหอยโข่ง นั่งท่ามหาราชา

ที่มา:https://www.youtube.com/watch?v=aq3gdkTuJ9I

      ท้าวกุเวร หรือ เวสสุวรรณ เทพเจ้าผู้ปกครองยักษ์และภูติผี วิญญาณทั้งปวง อีกทั้งเป็นผู้รักษาโลกเบื้องทิศอุดร ทำหน้าพิทักษ์รักษาพระศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ความคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายเเก่มวลมนุษย์และประทานโชคราภความร่ำรวยมั่งคั่ง แก่ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ และยังเป็นผู้ธำรุงไว้ซึ่งความยุติธรรม ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว  ท้าวกุเวรยังเป็นตัวอย่างของผู้ให้ การเเบ่งปันซึ่งกันเเละกัน ของมนุษย์ทั้งหลาย นำมาสู่ความรัก ความเคารพนับถือ และการได้รับความสรรเสริญในที่สุด






อ้างอิง


วัดเขาไกลาส.( 2558).ตำนานท้าวกุเวร.สืบค้นเมื่อ วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2561 จากhttp://www.watkaokrailas.com/articles/42191801/ตำนานท้าวกุเวร.html

วิกิพีเดีย.(2560).ท้าวเวสวัณ.สืบค้นเมื่อ วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2561.จากhttps://th.wikipedia.org

HOROSCOPE.(ม.ป.ป.).ท้าวเวสสุวรรณ เทพเเห่งความมั่นคง.สืบค้นเมื่อ วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2561.จากhttps://horoscope.kapook.com/view15559.html   

 Author Archives.(2560).เรื่องราวของท้าวกุเวร.สืบค้นเมื่อ วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2561.จากhttp://www.silpathai.net
   

วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เทวาลัยองค์ทวยเทพ " ปุรา เบซากิห์ (Pura Besakih) " แห่งเกาะบาหลี



ที่มา:http://www.bltbangkok.com/TravelersList/ต้องมนต์บาหลีดินแดนศักดิ์สิทธิ์

กาะบาหลี คือหนึ่งในจำนวนเกาะกว่าหมื่นเกาะของประเทศอินโดนีเซีย  มีภูมิประเทศสลับซับซ้อนและมีความหลากหลายมาก ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเกาะชวา  มีฐานะเป็นรัฐ ปกครองของตนเอง มีพื้นที่เพียง 5,620 ตารางกิโลเมตร ประชากรประมาณ 3,000,000 คนซึ่งดำรงชีวิต อยู่ด้วยกันแบบครอบครัวใหญ่และชุมนุมใกล้ชิด  ชาวบาหลีส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู ซึ่งมีเอกลักษณ์ที่โดเด่นเฉพาะตัวโดยการผสมผสานระหว่างความเชื่อท้องถิ่นและศาสนาฮินดูเข้าด้วยกัน ท่ามกลางความหลากหลายทางเชื้อชาติเเละศาสนาของดินเเดนหมื่นเกาะแห่งนี้ ความเชื่อความศรัทธาอย่างเเรงกล้าก่อให้เกิดสถาปัตยกรรมที่งดงาม “ ปุรา เบซากิห์ (Pura Besakih)” เทวสถานสำคัญแห่งเกาะบาหลีสะท้อนถึงความสำคัญของศาสนาที่หยังรากลึกบนเกาะเเห่งนี้มาตั้งเเต่บรรพบุรุษ ศิลปะวัฒนธรรมส่งผ่านรุ่นสู่รุ่นแสดงความงดงามและยิ่งใหญ่บนปราสาทแห่งทวยเทพ ประหนึ่ง “ อัญมณีแห่งท้องทะเล "


ที่มา:https://sites.google.com/site/chaiyapongsrima3/kar-taeng-kay




ประวัติ


ปูรา เบซาร์กิ ตั้งอยู่บนลาดเขาชันของ กูนุง อากุง วัดแห่งนี้ถือเป็นมารดรแห่งมวลวิหาร
(Mother Temple) สร้างขึ้นราว ค.ศ. 8 และได้รับการขยายให้มากขึ้นเรื่อยๆในศตวรรษต่อๆมา
ศตวรรษที่ 15 ปูรา เบซาร์กิ เป็นวัดประจำอาณาจักรของราชวงศ์เกลเกล ซึ่งได้สร้างวัดเล็กๆ ลักษณะคล้ายๆกันเพื่อบูชาเหล่าบรรพบุรุษ วัดแห่งนี้ได้รับการดูเเลจากลูกหลานของราชวงศ์กลุงกุง ซึ่งเป็นทายาทโดยตรงของอาณาจักรเกลเกล


ที่มา:http://www.bali-indonesia.com/attractions/besakih-temple.htm

ที่ตั้ง

วัดเบซากิห์ตั้งอยู่บนความสูง 1000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล บนเส้นทางขึ้นสู่ปากปล่องภูเขาไฟกุนุง อากุงเขตเมืองการังกาเซ็








ปุราเบซากิห์ (Pura Besakih)

ที่มา:http://natabalitours.com/bali-besakih-tours-driver
ปุราเบซากิห์ (Pura Besakih) หรือนิยมเรียกกันอีกชื่อว่า วัดแม่หรือวัดหลวงแห่งเบซากิห์ (Mother Temple of Besakih) เป็นวัดในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดของบาหลี ยังถือเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเหนือวัดอื่นๆ มีบริเวณกว้างขวาง ประกอบด้วยวัดใหญ่น้อยรวมอยู่ด้วยกันถึง 22 วัดตรงกลางคือวัดใหญ่สุด  ตั้งเรียงรายอยู่แต่ละขั้น กว่า 7 ขั้นไปตามไหล่เขาโดยมีภูเขาไฟกุนุง อากุง ตั้งเป็นฉากหลังของวัดด้วยความสูง 3142 เมตร สูงที่สุดในบาหลี เพิ่งระเบิดครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2506 ภายในวัดหลักๆจะมีแท่นบูชาขนาดใหญ่ ที่มี 3 บัลลังก์สูงสำหรับเทพเจ้า 3 องค์ คือ พระศิวะ สดาศิวะ และปรมศิวะ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน แต่ละแท่นมีผ้าสีต่างๆผูกล้อมเป็นการแสดงความเคารพสักการะต่อเทพเจ้า จะมีลักษณะคล้ายภูเขา ตามความเชื่อที่ว่า ทวยเทพและบรรพบุรุษประทับอยู่ที่ภูเขา และสัญลักษณ์เหล่านี้ก็เสมือนตัวแทนแห่งขุนเขาหรือที่ประทับของเทพเจ้า โดยวัดที่ตั้งอยู่ตรงกลางคือ วัดปุราเปนาทารัน อากุง (Pura Penataraa Aguan)


ที่มา:http://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=770998


ที่มาhttp://es.city-discovery.com/ID175_Templo_Besakih_y_costa_este_de_Bali


วัดปุราเปนาทารัน อากุง (Pura Penataraa Aguan)


ที่มา:http://randomvoyager.com/besakih/

วัดปุราเปนาทารัน อากุง (Pura Penataraa Aguan) เป็นวัดที่สำคัญที่สุด ตั้งอยู่ตรงศูนย์กลาง ทุกๆ วันจะมีคนบาหลีเดินทางมาประกอบพิธีทางศาสนาจำนวนมาก โดยจะมีการแต่งกายแบบพื้นเมืองทั้งชายและหญิง และการทูนเครื่องบูชาบนศีรษะตามแบบโบราณ



ที่มา:http://www.thebalitoday.com/news/besakih-temple/




เทศกาล


ดือนจันทรคติที่10 ตามปฏิทินบาหลี  จะจัดพิธีทางศาสนาที่สำคัญคือ “ บาคารา ตูรุน กาเบะห์ ”  ประมาณช่วงระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปี ที่ปูรา เบซากิห์  ซึ่งเชื่อว่า ทวยเทพเสด็จมาพร้อมเพรียงกัน ศาสนิกชนทั่วเกาะบาหลีหลั่งไหลมาพร้อมเครื่องสักการะบูชาที่ประดิษฐ์อย่างวิจิตรสวยงามที่เทินๆไว้บนศีรษะ เพื่อนำมาสักการะทวยเทพและบรรพบุรุษที่เขาเคารพนั่นเอง ในขณะที่เบียดเสียดแย่งกันเข้าไปสู่ลานวัดชั้นในเพื่อสวดบูชา

ที่มา:http://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=770998



วิธีเดินทาง: เช่ารถขับ เดินทางตาม GPS


เวลาเปิด-ปิด: เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8.00-17.00 น.


ค่าเข้าชม: คนละ 3,300 รูเปียห์

* * * หากนักท่องเที่ยวต้องการปีนเขากุหนุงอากุงสามารถทำได้ในช่วงเดือนกรกฏาคมถึงตุลาคม โดยจะต้องขออนุญาติจากทางวัดก่อนเพราะทางวัดไม่อนุญาตให้ปีนขึ้นไปสูงกว่าวัดขณะที่มีการทำพิธีกรรมทางศาสนาอยู่ วัดเบซากิห์เปิดเข้าชมทุกวัน เวลา 8.00-17.00 น.





ที่มา:http://www.besakihbali.com/

บาหลีเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ มีความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในตัวเอง มีความงดงามที่หลากหลายทั้งจากธรรมชาติและจากสถาปัตยกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นภายใต้ความเชื่อเเละศรัทธาในศาสนาสะท้อนผ่านศิลปะที่งดงามเเละยิ่งใหญ่ มีมนต์สะกตอย่างน่าหลงใหล่ ชวนให้ทุกท่านได้ไปสัมผัสและสร้างความทรงจำบนดินแดนของทวยเทพเเห่งนี้ สถาปัตยกรรมอันงดงามของมนุษย์ท่ามกลางธรรมชาติ โอบกอดด้วยขุนเขาเเละสายหมอก ช่างเป็นความลงตัวที่น่าอัศจรรย์ที่ยากจะได้สัมผัสจากที่ใด อย่าช้ายเลยครับครั้งหนึ่งในชีวิตควรจะไปสัมผัสดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เเละมันไม่มีเหตุผลใดเลยที่เราจะไม่ไปสัมผัสมัน " อัญมณีแห่งท้องทะเล"










อ้างอิง


โอเชี่ยนสไมล์ทัวร์.(ม.ป.ป.).ท่องเที่ยวบาหลี เขตการังกาเสม (Karangasem).
สืบค้นเมื่อ 13 ตุลาคม พ.ศ.2561 จาก http://www.oceansmile.com/IndoBali/Bali4.htm


Tarra Arrya.(ม.ป.ป.).ทัวร์บาหลี,วัดเบซากี Besakih Temple บาหลี.สืบค้นเมื่อ 13 ตุลาคม พ.ศ.2561 จากhttp://www.taraarryatravel.com/info_page.php?id=707&category=34


Govivigo.(2558).ปุราเบซากิห์.สืบค้นเมื่อ 13 ตุลkคมพ.ศ.2561.


สืบค้นเมื่อ 13 ตุลาคม พ.ศ.2561.จากhttp://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=770998

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2561

โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปปินส์ (BAROQUE CHURCHES OF THE PHILIPPINES)



ที่มา:https://pi-nu.blogspot.com/2017/03/world-heritage-site-filippinesingapore.html



ฟิลิปปินส์ เป็นประเทศที่มีหมู่เกาะกว่า 7,641 เกาะ และเป็นประเทศที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดียน้อยมาก เมื่อเทียบกับหลายๆประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยเหตุที่ฟิลิปปินส์ถูกปกครองโดยชาติตะวันตก เป็นเวลายาวนานโดยเฉพาะประเทศสเปน ที่ปกครองยาวนานถึง 400 ปี ซึ่งได้นำวัฒนธรรม  แบบตะวันตกเข้ามาอย่างแพร่หลายในฟิลิปปินส์รวมถึงศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งมีอิทธิพลต่อชาวฟิลิปปินส์เป็นอย่างมาก ความศรัทธาต่อศาสนาอย่างเหนียวแน่น นำมาสู่สถาปัตยกรรมอันงดงามผสมผสานความเป็นตะวันตกและพื้นเมืองได้อย่างลงตัว  อย่าช้าเลยครับเราไปเรียนให้รู้ดูให้เห็นความงดงามของศูนย์การเเห่งคริสต์จักรบนแผ่นดินรวยเกาะกับ " โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปปินส์ "
กันเลย






ประวัติ


โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปินส์ ประกอบด้วยโบสถ์โรมันคาทอลิก 4 แห่งที่สร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 16-18 ในช่วงที่ฟิลิปปินส์เป็นอาณานิคมของสเปน  นับว่าเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งที่ศาสนาคริสต์และเเพร่หลายในหมู่เกาะของฟิลิปปินส์ และยังเป็นศูนย์กลางอำนาจในการปกครองอาณานิคมของสเปนด้วย สถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของโบสถ์ผสมผสานความสเปนหรือละตินอเมริกันกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นหลอมรวมศิลปะลวดลายของจีนให้เข้ากันได้อย่างลงตัว  แสดงความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและเเปลกตาเป็นอย่างมาก โบสถ์บาโรคมีความสำคัญทั้งทางด้านศาสนาและการเมืองเชื่อมระหว่าง คริสตจักรและรัฐให้เป็นหนึ่งเดียวกัน โบสถ์เหล่านี้จึงไม่ใช่มีเพียงสิ่งก่อสร้างที่ให้บริการทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นป้อมปราการควบคู่ไปด้วย นอกจากนี้ที่ตั้งของประเทศฟิลิปปินส์ยังตั้งอยู่บนแนวที่เรียกว่าวงแหวนแห่งไฟแปซิฟิก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีแนวโน้มเกิดแผ่นดินไหวได้บ่อย ๆ การก่อสร้างจึงให้ความสำคัญกับรากฐานของโบสถ์เป็นอย่างมาก  และได้รับการบูรณะทดแทนเสมอเมื่อได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว


ที่มา:https://sites.google.com/site/worldheritageinaseann/filippins

ที่ตั้ง

โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปปินส์ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมของอินโดนีเซีย ประกอบด้วยโบสถ์ 4 แห่ง ได้เเก่

-โบสถ์ซานออกัสติน ในกรุงมะนิลา (San Agustin Church in Manila)
- โบสถ์ซานตามาเรีย ในซานตามาเรีย จังหวัดอิโลคอสซูร์  
(Santa Maria Church in Ilocos Sur)
- โบสถ์ซานอกัสติน ในปาโออาย จังหวัดอิโลคอสนอร์เต
(San Agustin Church in Paoay, Ilocos Norte)
- โบสถ์ซานโต โทมัส เดอวิลลานูวา ในไมอากาโอ จังหวัดอิโลอิโล
(Sto. Tomas de Villanueva Church in Miagao, Iloilo)




1. โบสถ์ซานออกัสติน ในกรุงมะนิลา (San Agustin Church in Manila)


ที่มา:https://aianderick.wordpress.com

โบสถ์ซานออกัสตินในกรุงมะนิลา เป็นโบสถ์คาทอลิกแห่งแรกที่สร้างขึ้นบนเกาะลูซอนในปี ค.ศ. 1571 หลังจากสเปนได้รับชัยชนะเหนือมะนิลา เป็นโบสถ์ในลัทธิออกัสติน (ลัทธิของคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก ตั้งชื่อตามนักบุญออกัสตินแห่งฮิปโป ค.ศ. 354 - ค.ศ. 450) ซึ่งเป็นนิกายแรกที่ประกาศพระวจนะในประเทศฟิลิปปินส์  ตัวโบสถ์ในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นมาเป็นครั้งที่ 3 ในพื้นที่เดิม สร้างด้วยหินเพดานเป็นวงโค้ง (Tunnel Vault) วาดภาดสถาปัตยกรรมลวงตาบนเพดาน (Trompe l’oeil)วาดขึ้นโดยจิตรกรชาวอิตาเลี่ยนจำนวนสองคนใน ค.ศ.1875 ที่ปลายสุดของโบสถ์เป็นแท่นบูชาประดิษฐานเซนต์เจมส์ถือดาบ ซึ่งเป็นนักบุญประจำประเทศสเปนแล้วเสร็จเมื่อ 19 มกราคม ค.ศ.1607 ละได้กลายเป็นแม่แบบของโบสถ์ออกัสตินในประเทศฟิลิปปินส์


ที่มา::https://www.loupiote.com/photos/33782740504.shtml





2) โบสถ์ซานตามาเรีย ในซานตามาเรีย จังหวัดอิโลโกสซูร์ (Santa Maria Church in Ilocos Sur)

 


ที่มา:http://www.sac.or.th/databases



โบสถ์พระแม่แห่งอัสสัมชัน (The Church of Our Lady of the Assumption) หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ โบสถ์ซานตามาเรีย ส์ สร้างตั้งขึ้นในปี 1765 ในจังหวัดโลคอสซู ฟิลิปปิน  สร้างขึ้นบนเนินเขา ระหว่างทะเลกับเทือกเขาตอนกลางของเกาะลูซอน ทำหน้าที่เป็นทั้งป้อมปราการที่สำคัญ ควบคู่กับการเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและการบริหารภูมิภาค โดยคริสต์ศาสนาและทหารของสเปน  รวมทั้งเป็นฐานสำหรับคริสต์ศาสนิกชนที่อยู่ทางตอนเหนือของหมู่เกาะ และเป็นสัญลักษณ์สิ่งที่ให้ระลึกถึงสี่ศตวรรษของการปกครองของสเปน
โบสถ์ซานตามาเรีย สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาโรคที่โดดเด่น ตัวอาคารโบสถ์ก่ออิฐสีแดง มีผนังด้านหน้าตามแบบบารอค ขนาบด้วยหอคอยสองด้านและเสาอีกสองต้น แบ่งพื้นที่ออกเป็นสามส่วน ด้านบนปรากฏหน้าบันแบบบารอคที่ใช้หน้าบันวงโค้งตรงกลางขนาบด้วยหน้าบันโค้งเว้าทางด้านข้างซึ่งทำให้หน้าบันด้านบนมีความลื่นไหลแตกต่างไปจากแบบคลาสิก ที่ปลายสุดซึ่งตรงกับหอคอยขนาบข้างนั้นปรากฏการประดับถ้วยรางวัล ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นองค์ประกอบแบบบารอคด้านข้างของโบสถ์นั้นถูกค้ำยันด้วย buttress ที่หนาหนัก มีโครงสร้างที่ป้องกันการถล่มเนื่องจากแผ่นดินไหว  



3) โบสถ์ซานอกัสติน ในปาโออาย จังหวัดอิโลโคสนอร์เต (San Agustin Church in Paoay, Ilocos Norte)
ที่มา:https://www.avianquests.com

โบสถ์เซนต์ออกัสตินในปาโออาย หรือ โบสถ์ปาโออาย (Paoay Church) เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิก ตัวโบสถ์เป็นศิลปะผสมระหว่างแบบกอทิกและบาโรค รวมทั้งได้รับอิทธิพลของศิลปะแบบจีนและชวาสร้างจาก อิฐ หินปะการัง และไม้แปรรูป มีชื่อเสียงจากสถาปัตยกรรมที่เน้นคานขนาดใหญ่ที่ด้านข้างและด้านหลังของอาคาร มีหอระฆังสร้างขึ้นจากหินปะการังเพื่อความปลอดภัยหากเกิดแผ่นดินไหวหรือพายุไต้ฝุ่น ตั้งอยู่ห่างจากตัวโบสถ์ นอกจากนี้ยังใช้หอระฆังเป็นหอสังเกตการณ์สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ 1710   ในปี ค.ศ. 2000 การขุดพบหลักฐานทางโบราณคดี เช่น โครงกระดูก และเครื่องปั้นดินเผาในบริเวณโบสถ์ ซึ่งมีอายุอยู่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์
ที่มา::https://www.avianquests.com



4) โบสถ์ซานโต โทมัส เดอ วิลลานูวา ในไมอากาโออิโลอิโล (Sto. Tomas de Villanueva Church in Miagao, Iloilo)



ที่มา:https://it.m.wikipedia.org/wiki/File:Baroque-Romanesque_Style_Miag-ao_Church.jpg


โบสถ์ซานโต โทมัส เดอ วิลลานูวา ในไมอากาโอ หรือ โบสถ์ไมอากาโอ เป็นสถานปฏิบัติของศริสตจักรโรมันคาทอลิก นิกายออกัสตินและยังทำหน้าที่เป็นป้อมปราการเพื่อต้านทานการรุกรานที่ สร้างขึ้นในปี ค.ศ 1731 ซึ่งในปีค.ศ 1741 และในปี 1754เมืองและโบสถ์ได้ถูกทำลายลงโดยการรุกรานโจรสลัดมุสลิม และได้สร้างโบสถ์ขึ้นใหม่ในปี ค.ศ 1787-1797 ในทำเลที่ปลอดภัยมากขึ้นเวลาต่อมาโบสถ์ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากไฟไหม้ถึงสองครั้ง ในระหว่างการปฏิวัติกับสเปนในปี 1898 และในระหว่างสงครมโลกครั้งที่2


ที่มา::http://ffemagazine.com/travel-berta-andrew-churches-iloilo/


มรดกโลก


โบสถ์ที่ 4 แห่งได้สะท้อนให้เห็นอิทธิพลของศริสต์ศาสนาได้หลอมรวมศลิปะระว่างสเปน ฟิลิปินส์และจีนให้ออกมาได้ย่างลงตัวเเละสวยงาม การผสมผสานจนเกิดเป็นเอกลักษณ์ที่โดเด่นเฉพาะตัว กระทั้งโบสถ์ทั้ง 4 แห่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกรวมกันในปี พ.ศ.2536 โดยมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณามรดกโลกด้านวัฒนธรรมจำนวน 2 ข้อ ดังนี้

1. เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม


2. เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนาทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ





ที่มา:https://www.dmc.tv/pages/.html


       ประเทศฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่แห่งหมู่เกาะโอบกอดด้วยท้องทะเล มีธรรมชาติที่สวยงาม หาดทรายสีขาวตัดกับพื้นน้ำทะเลสีคราม เห็นหมู่ฝูงปลาแหวกว่ายล้อเล่นกับปะการัง นอกจากธรรมชาติที่สมบูรณ์แล้วยังเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมที่สวยงาม สถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้าง ล้วนแต่ถูกตกแต่งด้วยช่างฝีมืออย่างประณีตงดงาม อีกทั้งการผสมผสานศิลปะความเป็นตะวันตกกับฟิลิปปินส์จนเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเเละสวยงามยิ่งนัก หากทุกท่านกำลังมองหาสถานที่พักผ่อน ฟิลิปปินส์น่แหละเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ คุณจะได้สัมผัสกลิ่นไอความเป็นเสปนโดยที่ไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงตะวันตก และคุณจะได้เรียนรู้ทั้งประวัติศาสตร์ความเป็นฟิลลิปปินส์และเสปนไปพร้อมๆกัน และชาวฟิลลิปปินส์จะมองมาที่คุณเเละยิ้มให้แล้วพูดว่า กูมูสต้า (kumusta)ซึ่งมันไม่มีเหตุผลใดที่พวกเราจะไม่ไปชมความงดงามด้วยตาซักครั้ง




อ้างอิง


ราพรรณ  พูลสวัสดิ์, นัชรี  อุ่มบางตลาด. มรดกโลกในฟิลิปปินส์ 2 : โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปปินส์.
ค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2561.จากhttp://aseannotes.blogspot.com/2014/08/2.html

วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี. (2561). โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปปินส์. ค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2561.

 วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี. (2561). ประเทศฟิลิปปินส์.ค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2561.จากhttps://th.wikipedia.org/wiki/

 มรดกโลกอาเซียน.( ม.ป.ป.).ฟิลิปปินส์. ค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2561.จากhttps://sites.google.com/site/worldheritageinaseann/filippins

 เชษฐ์ ติงสัญชลี.( ม.ป.ป.).ภายในโบสถ์ซานออกุสติน.ค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2561.จากhttp://www.sac.or.th/databases/seaarts/th.

ชษฐ์ ติงสัญชลี. ( ม.ป.ป.).ภายในโบสถ์ซานตามาเรีย.ค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2561.จาก http://www.sac.or.th/databases/seaarts/th/architectureth.